บทความ
บทความสำหรับเด็ก
กพฐ. ดันนโยบาย “เด็กไทยว่ายน้ำเป็น” ให้สอนว่ายน้ำทุกโรงเรียน
จากสถิติเด็กไทยเสียชีวิตจากการจมน้ำในช่วงปิดภาคเรียนเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงผลักดันให้มีนโยบาย “เด็กไทยว่ายน้ำเป็น” โดยให้ทุกโรงเรียนสอนเด็กว่ายน้ำ เพื่อให้นักเรียนทุกคนว่ายน้ำเป็น
กพฐ. ดันนโยบาย “เด็กไทยว่ายน้ำเป็น” ให้สอนว่ายน้ำทุกโรงเรียน
ทำไมเด็กไทยถึงว่ายน้ำไม่เป็น?
เนื่องจากในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้บังคับให้มีการเรียนการสอนกีฬาว่ายน้ำ อีกทัั้งยังไม่มีหน่วยงานใดได้เข้ามาจัดระบบและสร้างมาตรฐานหลักสูตรการเรียนการสอนว่ายน้ำอย่างจริงจัง ทำให้โรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีสระว่ายน้ำ อีกทั้งยังขาดบุคคลากรในการสอน หากต้องการว่ายน้ำ จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้สระว่ายน้ำสาธารณะ และหากต้องการเรียนว่ายน้ำ ก็จำเป็นจะต้องจ้างครูสอนว่ายน้ำ ทำให้เด็กไทยหลาย ๆ คนเสียโอกาสในการว่ายน้ำเป็นไปโดยปริยาย

ทำไมเด็กไทยถึงต้องว่ายน้ำเป็น?
จากผลสำรวจของสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทำเราทราบถึงอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำตายของเด็กไทยที่สูงมาก การจมน้ำ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทย โดยในแต่ละปีจะมีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำตายประมาณปีละ 1,500คน ซึ่งคิดเป็น 47% ของเด็กที่เสียชีวิตในแต่ละปี อัตราส่วนของเด็กที่จมน้ำเสียชีวิตนั้นมีสูงกว่าเด็กที่เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเสียอีก มากไปกว่านั้น จากผลสำรวจระบุได้ว่าเด็กไทยไม่น้อยกว่า 80% ว่ายน้ำไม่เป็น และเด็กส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตนั้น มักจะจมน้ำตายในบริเวณรัศมี 100 เมตรรอบบ้านของตน โดยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักเกิดจากการจมน้ำในบ้าน เช่น ถังน้ำ กาละมัง บ่อ อ่างเลี้ยงปลา แม้กระทั่งโถชักโครก เป็นต้น ส่วนในเด็กอายุ 6-10 ปี มีลักษณะที่แตกต่างออกไป เพราะเด็กวัยนี้สามารถออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้านได้แล้ว
บางทีตามเพื่อนไปเล่นน้ำ หรือเล่นนอกบ้านแล้วพลัดตกน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ยากแก่การคาดเดาและยากต่อการป้องกัน กระทรวงสาธราณะสุขยังระบุอีกว่า ถ้าปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ในปีพ.ศ. 2563 ยอดการจมน้ำตายจะพุ่งสูงถึง 17,000 คนต่อปี เนื่องจาก ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 13 ล้านคน ที่พบว่าว่ายน้ำเป็นเพียงร้อยละ 16 หรือประมาณ 2 ล้านคน ที่เหลืออีก 11 ล้านคนว่ายน้ำไม่เป็น และมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงหากตกน้ำหรือลงไปเล่นน้ำ โดยถ้าหากคนไทยว่ายน้ำเป็นกันทุกคน ตัวเลขเหล่านี้ก็คงจะลดลงไปมาก
ขอบคุณที่มา : https://www.amarinbabyandkids.com/family/thai-kids-must-swim/
6 เทคนิคการสอนให้ “เด็กอนุบาล” คิดเป็น และ เฉลียวฉลาด
6 เทคนิคการสอนให้ “เด็กอนุบาล” คิดเป็น และ เฉลียวฉลาด
1️⃣ ให้เด็กได้สัมผัส สำรวจ ทดลอง กิจกรรมที่หลากหลาย
2️⃣ เล่านิทาน และใช้คำศัพท์ใหม่ๆ
3️⃣ ตั้งคำถาม ให้เด็กพูด keyword
4️⃣ เล่นบทบาทสมมุติ เล่นกับคนอื่น
5️⃣ เล่นอิสระ และเล่นอย่างมีแนวทาง
6️⃣ เตรียมอุปกรณ์ สิ่งของแปลกใหม่
ให้เล่นเพื่อกระตุ้นให้คิดแปลกออกไป
อย่าปล่อยให้เทคโนโลยีเลี้ยงลูก! แชร์ 5 เทคนิคอีซี่ๆ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไกลโรคสมาธิสั้น!?
ปัจจุบัน เด็กไทยมีแนวโน้มสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นมากขึ้นโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ด้วยเทคโนโลยีใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเกม แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมขาดสมาธิจดจ่อในการทำกิจกรรมทั่วไป จนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และนำไปสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นในที่สุด

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไกลโรคสมาธิสั้น ?
โดยเด็กสมาธิสั้นส่วนมากมักจะพบว่า ปัญหาเกิดจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่ปล่อยให้เทคโนโลยีเลี้ยงดูลูกหลานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเด็กไว้หน้าทีวีจนทำให้เด็กไร้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การปล่อยให้เด็กใช้แท็บเล็ตเล่นเกมส์ระหว่างรอผู้ปกครองทำกิจธุระจนทำให้เด็กหมกมุ่นอยู่แต่กับเกมส์ เหล่านี้ เป็นสาเหตุง่ายๆที่ทำให้เด็กเล็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้น ในบางรายอาจจะต้องพาไปพบจิตแพทย์และรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนใช้เวลานานเป็นปีกว่าจะหายเลยทีเดียว
แต่จะดีกว่าไหม? หากเราซึ่งเป็นผู้ปกครองจะรู้เท่าทันพฤติกรรมเหล่านี้ และหาวิธีป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นจากเทคโนโลยีได้ ด้วย 5 เทคนิคง่ายๆที่ไม่ต้องใช้เงินจ่ายค่ารักษามากมาย ไม่ต้องซื้อสิ่งสร้างเสริมประสบการณ์ต่างๆ มาช่วยพัฒนา เพียงแต่แค่มีเวลาและใส่ใจก็พอ

หมั่นพูดคุยและสบตาระหว่างพูดทุกครั้ง
อาการที่เด็กเฉยชาและไม่ส่งผลต่อการตอบสนองเวลาพ่อแม่เรียกหา เกิดจากการปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอมากไป จึงทำให้เด็กตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก สร้างโลกที่มีแต่ตัวเองและเกมส์ขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งก็นับเป็นอีกหนึ่งอาการที่เรามักจะพบเห็นได้ในเด็กแทบทุกวัย ดังนั้นการที่เด็กแสดงอาการแบบนี้ออกมา ผู้ปกครองจึงไม่ควรขึ้นเสียงซ้ำหรือแสดงอารมณ์โมโหใส่ แต่ควรจะเดินเข้าไปสะกิดเด็กพร้อมทั้งสบตาระหว่างพูดคุย ซึ่งจะทำให้เด็กสนใจ เบี่ยงเบนความสนใจจากโลกหน้าจอ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ปกครองมากขึ้น
ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่วมกับเด็กตลอดเวลา
อาจจะไม่ใช่การทำกิจกรรมร่วมกันทุกวัน แต่อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันในทุกสุดสัปดาห์ตามความสะดวกของผู้ปกครองที่จะจัดสรรเวลามาใช้ร่วมกับลูกอย่างเหมาะสม โดยในบางครอบครัวอาจจะกำหนดให้ทำกิจกรรมนอกบ้านร่วมกันทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กและใช้เวลาร่วมกัน หรือการใช้เวลาสั้นๆ กับเด็กในทุกๆวันได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น ป้อนข้าว หรืออาบน้ำ เหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกวัน ซึ่งผู้ปกครองสามารถหาอุปกรณ์มาสร้างเสริมพัฒนาการของลูกระหว่างทำกิจกรรมร่วมกันได้ด้วย
Giraffe & Friends organic head to toe baby foam wash เป็นตัวช่วยที่ดีให้หลายๆ ครอบครัว ได้มีกิจกรรมร่วมกันเป็นประจำ ผ่านทางการอาบน้ำให้เด็ก เป็นที่รู้กันดีว่าการอาบน้ำให้เด็กนั้นเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะชุลมุนวุ่นวาย แต่หากเลือกใช้อุปกรณ์ในการอาบน้ำที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุก เพลิดเพลินไปในตัว ก็จะทำให้เด็กมีแรงจูงใจในการอาบน้ำมากขึ้น
สำหรับครีมอาบน้ำขวดนี้เป็นครีมอาบน้ำที่เหมาะกับเด็กที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองได้ค่าการระคายเคืองต่ำ = 0 (เท่ากับศูนย์) จึงทำให้ลดปัญหาผดผื่นจากอาการแพ้ หรือผดร้อนต่างๆได้เป็นอย่างดี มีส่วนประกอบจากข้าวโพดและมะพร้าว ช่วยในการบำรุงผิวเด็กให้นุ่ม ชุ่มชื้น หอมสดชื่นได้ทั้งวัน
ขวดครีมอาบน้ำออกแบบมาจากวัสดุที่ได้รับการการันตีว่า ปลอดภัย และผลิตจากพลาสติก Food Grade เด็กสามารถเล่นได้โดยที่ไม่อันตราย เป็นตัวช่วยในการอาบน้ำได้ดี เพราะมีรูปทรงที่น่ารักเป็นยีราฟสีสันสดใส เด็กเห็นแล้วจะทำให้รู้สึกอยากอาบน้ำทุกครั้ง และมีการสร้างบทบาทสมมุติขึ้นมาว่า “พี่ยีราฟ” จึงทำให้การอาบน้ำเป็นเรื่องที่สนุกมากขึ้น เพียงแค่พ่อแม่ใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและออกแบบมาเพื่อเด็กโดยตรง จะทำให้เด็กได้ใช้ความคิด และฝึกทักษะทางด้านจินตนาการไปด้วยในตัว ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย และทำได้ทุกวัน นอกจากจะทำให้เด็กหันมาสนใจกิจกรรมนอกเหนือจากการเล่นแท็บเล็ตแล้ว ก็ยังทำให้มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย
ที่มา : https://www.amarinbabyandkids.com/parenting/toddler/protect-children-adhd/
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 เช็กวันเวลา-สถานที่ ที่นี่!!
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 ของฟรีมาแล้ว “แม่ท้อง และ ลูกเล็กอายุ 6 เดือน – 2 ขวบ” และอีก 4 กลุ่มเสี่ยง เตรียมตัวไป … เช็กวันเวลาและสถานที่ฉีดวัคซีน ได้ที่ด้านล่างนี้เลย ⇓
ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 “7 กลุ่มเสี่ยง” รีบไป!
จากการคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในปี 2562 สถานการณ์การระบาดของ โรคไข้หวัดใหญ่ น่าจะรุนแรงขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 ไว้ล่วงหน้า ซึ่งล่าสุด ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B ที่ระบาดในไทย ก็พบว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 ราย
โดยทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นโรคระบาดประจำปี อันหมายถึงเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โดยกลุ่มเสี่ยงที่สุดคือ เด็กวัย 0-4 ปี
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) โดยผู้ป่วยจะมีอาการเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรง โดยอาการพบบ่อยที่สุด ได้แก่ มีไข้สูง คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไอ และรู้สึกเหนื่อย ทั้งนี้ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งอาจมีภาวะรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยง 7 ที่ต้อง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 ได้แก่
- คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยมีอายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน
- ลูกน้อย อายุ 6 เดือน – 2 ปี
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
- ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี ทุกคน
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วน น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก./ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
และรวมไปถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สอบสวนควบคุมโรค เจ้าหน้าที่ทำลายสัตว์ปีก เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อฉีดวัคซีนแล้วหากป่วยจะช่วยลดระยะเวลาการป่วยจาก 7 วัน เหลือเพียง 1-2 วัน และยังช่วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาลด้วย ดังนั้นการรับวัคซีนป้องกัน หรือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด .. ซึ่งปีนี้ สปสช.ได้การจัดวัคซีนเพิ่มจาก 3.5 ล้านโดส เป็น 4 ล้านโดส ซึ่งคุณแม่ท้อง และบ้านไหนที่มีลูกน้อยในวัย 6 เดือน – 2 ปี รวมไปถึงกลุ่มเสี่ยงดังที่กล่าวไปหน้าแรก ก็สามารถไป ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2562 ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!!
ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2562 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด โดยสามารถเข้ารับบริการ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2562 ได้ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่อยู่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ทั้งนี้ทาง สปสช. ยังได้กล่าวอีกว่า สำหรับในกรณีหญิงตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไปได้จัดเตรียมวัคซีนไว้สำหรับทุกคน และไม่จำเป็นว่าต้องมารับการฉีดในช่วงรณรงค์เท่านั้น แต่สามารถขอรับการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี
และสำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ที่ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย โดย วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด 4 สายพันธุ์ ราคา 450 บาท หรือโรงพยาบาลเอกชน ราคาประมาณ 700-1,000 บาท และควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันทุกปี
ส่วนวัคซีนที่ สปสช.จัดเตรียมนี้เป็นไปตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด โดยเป็นวัคซีนผลิตจากเชื้อตาย 3 สายพันธุ์ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ที่มีการระบาดมากในประเทศไทยและทั่วโลก ประกอบด้วย
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) เป็นสายพันธุ์เดิมมิชิแกน
- ชนิด A (H3N2) มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว จากสายพันธุ์สิงคโปร์เป็นสายพันธุ์สวิสเซอร์แลนด์ ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่ระบาดในไทยถึงร้อยละ 87.50
- และไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด B มีการเปลี่ยนแปลงจากสายพันธุ์ ยามากะตะ/ภูเก็ต เป็นสายพันธุ์ วิกตอร์เรีย/โคโรลาโด เป็นสายพันธุ์ที่พบร้อยละ 95.14 ในกลุ่มผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนมีผลช่วยป้องกันได้ร้อยละ 60-70 ดังนั้นการดูแลตนเองด้วยการหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตนเองจากการสัมผัสผู้ที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ การทำร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารที่เอื้อต่อสุขภาพ และล้างมือให้สะอาด ยังเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยกัน ทั้งนี้หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ที่มา : https://www.amarinbabyandkids.com/family/family-benefits/free-vaccine-influenza-2019/